เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อสร้างประสบการณ์นำเสนอคอนเทนต์ที่ดีให้กับท่าน รวมถึงเพื่อนจัดการข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์ที่ดี บนบริการของเว็บไซต์เรา หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป โดยไม่มีการปรับตั้งค่าใดๆ นั่นเป็นการแสดงว่าท่านอนุญาตยินยอมที่จะรับคุกกี้บนเว็บไซต์และนโยบายสิทธิส่วนบุคคลของเรา เรียนรู้เพิ่มเติม
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมราคาอัปเดต

10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมราคาอัปเดต สำหรับใครที่กำลังมองหากระเป๋าแบรนด์เนมใบแรกแต่มีงบจำกัด SF Brandname เราได้คัดสรร กระเป๋า 10 รุ่น ยอดฮิตจากแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton, Gucci, Prada, Saint Laurent, Celine และ Dior ที่ทั้งดีไซน์สวย ใช้งานง่าย เหมาะกับมือใหม่สุด ๆ
ซึ่งกระเป๋าเหล่านี้นอกจากดีไซน์หรูหราแล้ว ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวัน ใส่ของจำเป็นได้ครบ รวมทั้งราคาที่จับต้องได้ อีกทั้งบางรุ่นยังเป็นรุ่นคลาสสิก คุ้มค่าสำหรับการลงทุน ขายต่อก็ได้กำไร มาติดตามพร้อมกันเลยว่ากระเป๋า 10 รุ่นที่ว่า มีรุ่นไหนกันบ้าง
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก
1. Louis Vuitton Speedy Bandoulière 30
แบรนด์ : Louis Vuitton (หลุยส์ วิตตอง)
รุ่น : Speedy Bandoulière 30 (มีสายสะพาย)
กระเป๋า Louis Vuitton Speedy ถือเป็นรุ่นคลาสสิกระดับตำนาน เปิดตัวครั้งแรกในปี 1930 และยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน ดีไซน์ทรงหมอนขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ทำจากผ้าใบเคลือบลายโมโนแกรม (Monogram Canvas) ตัดแต่งด้วยหนังแท้สีอ่อน ดูหรูหราแต่ทนทาน เหมาะกับการใช้งานในทุก ๆ วัน
สำหรับ Speedy รุ่น Bandoulière นั้น จะมาพร้อมสายสะพายยาวให้สะพายไหล่หรือสะพายข้างได้ เพิ่มความสะดวกคล่องตัว (ต่างจากรุ่น Speedy ปกติที่ถือได้อย่างเดียว) ถือว่าเป็นการผสมผสานความหรูและฟังก์ชันที่ลงตัว สำหรับมือใหม่ที่อยากได้กระเป๋าใบแรกที่ใช้ได้บ่อยและไม่มีวันตกยุค
- ราคามือหนึ่งปี 2025 : ประมาณ 71,500 บาท สำหรับขนาด 30 ลายโมโนแกรม (Speedy มีหลายขนาด เช่น 25, 30, 35 ตัวเลขคือความยาวเป็นเซนติเมตร)
- ราคามือสอง : อยู่ที่ราว 20,000 – 40,000 บาท ขึ้นกับสภาพและปีที่ผลิต (เช่น รุ่นวินเทจ สภาพดีราคาขายอาจอยู่ที่ประมาณ 22,900 บาท
- ความคุ้มค่า : Speedy เป็นกระเป๋าที่ครองใจคนทั่วโลกเกือบศตวรรษ ด้วยดีไซน์คลาสสิกไม่ตกยุค มีหลายวัสดุให้เลือก (ทั้ง Monogram, Damier และหนัง Epi) และเป็นที่ต้องการในตลาดมือสองเสมอ การได้เป็นเจ้าของกระเป๋า Speedy สักใบ ถือว่าคุ้มค่า ใช้งานทนทาน และหากดูแลรักษาเป็นอย่างดี สามารถขายต่อในตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือสองได้ในราคาสูงอีกด้วย
2. Louis Vuitton Neverfull MM
แบรนด์ : Louis Vuitton
รุ่น : Neverfull ขนาด MM (Medium)
Louis Vuitton Neverfull คือกระเป๋าสไตล์โท้ท (Tote) ที่ขึ้นชื่อเรื่องจุของได้ “ไม่มีวันเต็ม” สมชื่อรุ่น เปิดตัวครั้งแรกปี 2007 และกลายเป็นกระเป๋ายอดนิยมของ LV อย่างรวดเร็ว
ดีไซน์เรียบหรูเป็นกระเป๋าสะพายไหล่ทรงเปิดโล่ง มีสายหนังบาง ๆ สองเส้นที่สามารถปรับรูดด้านข้างเพื่อปรับทรงกระเป๋าได้ โดดเด่นตรงที่ใส่ของได้เยอะ น้ำหนักเบา และ สารพัดประโยชน์ มาก จะถือไปเรียน ไปทำงาน หรือไปเที่ยวก็เอาอยู่ ภายในมาพร้อม pouch กระเป๋าซิปใบเล็กที่สามารถถอดได้ (บางคนใช้เป็นกระเป๋าคล้องมือใบจิ๋วได้เลย) วัสดุมีทั้งลายโมโนแกรม, Damier (ตารางสีน้ำตาล/ขาว) และรุ่นหนังล้วน ความคลาสสิกของ Neverfull คือใช้กี่ปีก็ไม่เชย แถมทนทานสมบุกสมบันมาก เป็นกระเป๋าที่มือใหม่แบรนด์เนมทั่วโลกต้องมี
- ราคามือหนึ่ง 2025 : ขนาด MM ประมาณ 68,500 บาท (รุ่น PM เล็กกว่านี้ ~66,000 บาท และ GM ใหญ่สุด ~70,500 บาท) หากเป็นรุ่นลิมิเต็ดลวดลายพิเศษ ราคาจะสูงขึ้น (เริ่ม ~76,000 ไปจน 100,000+ บาท)
- ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพและปีที่ผลิต เช่น Neverfull Damier Ebene MM สภาพสวยๆ มีขายราว 49,900 บาท และหากเป็นใบเก่ากว่า (ปีเกือบสิบปี) อาจหาได้ในช่วง 15,000 – 25,000 บาทตามสภาพ
- ความคุ้มค่า : Neverfull เป็นใบที่ ใช้งานง่ายสุดๆ และจุของเยอะมาก – เอกสาร โน้ตบุ๊ก ร่ม ขวดน้ำ ใส่ได้หมด การออกแบบเรียบพื้นฐานทำให้เข้าได้กับทุกลุคตั้งแต่ชุดนักศึกษาไปจนถึงสูททำงาน ถือใบเดียวเอาอยู่ทุกโอกาสจริง ๆ นอกจากนี้ LV มักปรับขึ้นราคาทุกปี กระเป๋ารุ่นฮิตอย่าง Neverfull ก็มีแนวโน้มราคาขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นซื้อมาใช้สักพักขายต่อก็แทบไม่ขาดทุน ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับมือใหม่
3. Gucci GG Marmont Matelassé (Small)
แบรนด์ : Gucci (กุชชี่)
รุ่น : GG Marmont แบบสายโซ่ (Size Small)
Gucci Marmont เป็นกระเป๋ารุ่นฮิตยุคใหม่ของ Gucci ที่เปิดตัวปี 2016 และยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นคือดีไซน์ฝาปิดพร้อมอะไหล่โลโก้ตัว Double G ขนาดใหญ่แบบวินเทจ ด้านตัวกระเป๋าทำจากหนังวัวลายเย็บนูนแบบ Matelassé ลวดลายเชฟรอน (Chevron) ให้สัมผัสนุ่มมือและดูหรูหรา อะไหล่เป็นสีทองเหลืองโทนวินเทจเข้ากับโลโก้ได้อย่างลงตัว
รุ่นยอดนิยมสำหรับมือใหม่คือทรง Shoulder Bag ขนาด Small ซึ่งมีสายสะพายโซ่ยาว (สามารถสะพายไหล่หรือ Crossbody ได้ โดยสายโซ่ปรับได้สองระดับ) ขนาดกำลังดีใส่มือถือ กระเป๋าสตางค์ใบยาว และของจุกจิกได้ครบ แถมมิกซ์เข้ากับชุดได้ง่ายตั้งแต่ลุคชิลในชีวิตประจำวันจนถึงชุดออกงานกลางคืน เรียกว่าทั้งสวยและเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอยเลยทีเดียว
- ราคามือสอง : ประมาณ 45,000 – 50,000 บาท สำหรับสภาพสวย รุ่นนี้ในตลาดมือสองมีค่อนข้างเยอะเพราะเป็นที่นิยมมาก เช่นข้อมูลปี 2024 พบว่าราคามือสองเฉลี่ยราว 46,000 บาท (ถ้าสภาพใหม่มาก ๆ หรือสียอดนิยม อาจสูงกว่านี้เล็กน้อย)
4. Saint Laurent (YSL) Wallet on Chain
แบรนด์ : Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์)
รุ่น : Monogram Wallet on Chain (WOC) ขนาด 7.5 นิ้ว
กระเป๋า Saint Laurent Wallet on Chain หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า YSL WOC เป็นกระเป๋าสตางค์มีสายโซ่ที่สามารถใช้เป็นกระเป๋าสะพายข้างได้ในตัว เรียกได้ว่าเป็นรุ่น Two-in-one ที่ทั้งสวยและใช้งานได้จริง ดีไซน์เป็นทรงซองฝาปิดขนาดกะทัดรัด ทำจากหนังลูกวัวปั๊มลายเกรน (Grained Calfskin) ที่ทนรอยขีดข่วน ด้านหน้าประดับโลโก้ตัวอักษร YSL ทำจากโลหะ (มีทั้งอะไหล่สีเงินหรือสีทองให้เลือก) ลายตะเข็บบนหนังเป็นลาย Chevron ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิกของแบรนด์ YSL
ภายในจะพบช่องใส่บัตรหลายช่องและช่องซิป เหมือนกระเป๋าสตางค์ใบยาวย่อส่วน มาพร้อมสายโซ่ยาวถอดไม่ได้สำหรับสะพายไหล่/สะพายข้าง เหมาะกับใส่ของจำเป็นเช่น โทรศัพท์ มือถือรุ่นใหญ่บางรุ่นใส่ได้พอดี, เงิน, บัตร และลิปสติก เหมาะมากกับวันสบาย ๆ หรืองานที่ต้องการลุคเรียบหรูเรียบง่าย รุ่นนี้สาว ๆ วัยมหาลัยจนถึงวัยทำงานนิยมกันมากเพราะราคาไม่แรงเกินไปและสามารถใช้ได้หลากหลายโอกาส
- ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น WOC ขนาดเล็ก (7.5 นิ้ว) อยู่ที่ประมาณ 59,900 บาท ส่วนขนาดใหญ่กว่า (9 นิ้ว) ราคาก็สูงขึ้นตามไป
- ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท โดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นกับสภาพและปี รุ่นนี้ค่อนข้างนิยมทำให้ขายต่อไม่ยาก เช่นที่ SF Brandname ราคาจำหน่ายยู่ที่ 35,900 บาท ในสภาพสวย
- ความคุ้มค่า : YSL WOC ถือว่าเป็นกระเป๋าที่เหมาะกะบใครที่กำลังเริ่มต้นใช้แบรนด์เนม เพราะได้ทั้งกระเป๋าสตางค์และกระเป๋าสะพายในใบเดียว วัสดุหนังทนทานไม่ต้องกลัวเป็นรอยง่าย ๆ ขนาดเล็กกำลังดี เข้าได้กับหลายลุค ตั้งแต่ลำลองจนกึ่งทางการ มือใหม่ที่ยังไม่อยากลงทุนกับกระเป๋าใบใหญ่ราคาแพง การเริ่มที่ WOC ใบนี้ถือว่าได้ใช้คุ้มค่าแน่นอน และหากต้องการขายต่อ ก็สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอยู่เสมอ
5. Saint Laurent (YSL) Lou Camera Bag
แบรนด์ : Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์)
รุ่น : Lou Camera Bag (รุ่นกล้อง)
YSL Lou Camera Bag เป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมขอบมนขนาดกะทัดรัด พร้อมสายสะพายยาว ปรับความยาวได้ ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจากกระเป๋ากล้องถ่ายรูปวินเทจ จึงทั้งเท่และใช้งานง่ายค่ะ ตัวกระเป๋าทำจากหนังลูกวัวลายควิลท์ (quilted calfskin) ลายทางขวางและลาย Chevron ผสมกัน ดูมีมิติ ด้านหน้าประดับโลโก้ Cassandre ตัวอักษรย่อ YSL โลหะสีทองตรงกลางเด่นชัด และห้อยพู่หนังแต่งเพิ่มความเก๋
- ราคามือสอง : ประมาณ 30,000 – 40,000 บาท ขึ้นกับสภาพ รุ่นนี้มีมือสองให้เลือกเยอะเช่นกัน บางร้านค้าออนไลน์ ตั้งราคาจำหน่ายล่าสุดเริ่มต้นที่ 34,500 บาท ซึ่งถือว่าน่าสนใจมากสำหรับคนงบจำกัด
6. Prada Re-Edition 2005 (Re-Nylon)
แบรนด์ : Prada (ปราด้า)
รุ่น : Re-Edition 2005 (กระเป๋าไนลอนสะพายไหล่ + สายยาว)
กระเป๋า Prada Re-Edition 2005 คือการนำกระเป๋าทรงฮิตของ Prada ในปี 2005 กลับมาทำใหม่อีกครั้ง โดยใช้วัสดุไนลอนรีไซเคิล (Re-Nylon) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตกแต่งด้วยหนัง Saffiano ตามจุดต่าง ๆ
ดีไซน์ทรง hobo ครึ่งวงพระจันทร์ขนาดเล็กน่ารัก มาพร้อมสายโซ่สั้นถอดได้หนึ่งเส้นสำหรับคล้องแขนเก๋ ๆ และมีสายสะพายไนลอนยาวปรับระดับได้สำหรับสะพายไหล่หรือสะพายข้าง นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นคือ กระเป๋าใบเล็กจิ๋ว ที่ติดมากับสายสะพายยาว ใช้เก็บของชิ้นเล็ก ๆ อย่างเหรียญหรือกุญแจได้ (หลายคนชอบความเก๋ตรงกระเป๋าจิ๋วนี้มาก)
- ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น Re-Edition 2005 Re-Nylon ราคาจำหน่ายในประเทศไทยประมาณ 72,000 บาท ราคามือหนึ่ง 2025 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ทางการ Prada ประเทศไทย) – หมายเหตุ : Prada ยังมีรุ่นคล้ายกันที่เป็น Re-Edition 2000 ทรงสะพายไหล่สายสั้นไม่มีสายยาว ซึ่งจะราคาถูกกว่าประมาณ 48,000 บาท แต่สำหรับมือใหม่แนะนำรุ่น 2005 ที่มีสายยาวจะใช้ได้หลากหลายกว่า
7. Prada Galleria Saffiano (Small Tote)
แบรนด์ : Prada
รุ่น : Galleria (Small) หรือที่มักเรียกกันว่า Prada Saffiano Double Zip
หากคุณเป็นมือใหม่ที่มองหากระเป๋าทรงสุภาพสำหรับถือไปทำงานหรือโอกาสทางการ Prada Galleria หรือ Prada Saffiano คือคำตอบที่ลงตัวค่ะ รุ่นนี้เปิดตัวครั้งแรกช่วงปี 2013 และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “กระเป๋าคลาสสิก” ของ Prada คู่กับรุ่น Prada Double Cuir
ดีไซน์กระเป๋าเป็นทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้าง มีความแข็งแรงทรงอยู่ตัว ทำจากหนัง Saffiano ซึ่งเป็นหนังวัวเคลือบลายไขว้อันเป็นเอกลักษณ์ของ Prada (คุณสมบัติคือทนรอยขีดข่วนและกันน้ำกระเซ็นได้ดี) รายละเอียดการออกแบบหรูหราและเน้นฟังก์ชันมาก เช่น มีช่องซิปด้านบน 2 ช่อง (Double Zip) สำหรับเก็บของสำคัญแยกต่างหาก, มีสายสะพายหนังยาวแถมมาให้ถอดเข้า-ออกได้สำหรับสะพายไหล่, หูจับคู่ทรงโค้งถือถนัดมือ
มาพร้อมพวงกุญแจคล้องห้อยหนัง (clochette) ใส่กุญแจล็อก และหมุดรองฐานกระเป๋าป้องกันรอยขีดข่วนเวลาวางกระเป๋า ภายในกระเป๋ากว้างขวางและมีซับในผ้าโลโก้ Prada จัดของเป็นสัดส่วนง่าย เหมาะกับการใช้เป็นกระเป๋าทำงานที่ทั้งสวยหรูและใช้งานได้จริง
- ราคามือหนึ่ง 2025 : รุ่น Small Galleria ปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง (อยู่ที่ประมาณ 130,000 – 150,000 บาท หรือ $4,000+ ขึ้นอยู่กับประเทศ
- ราคามือสอง : ในตลาดมือสองสามารถหาได้ในงบประมาณ 40,000 – 60,000 บาท เนื่องจากรุ่นนี้มีมานานและมีผู้ใช้อยู่มาก ราคามือสองจึงลดลงมาในราคาที่ใคร ๆ ก็สามารถจับต้องได้ เช่น Prada Saffiano Galleria มือสองสภาพดีบางใบราคาประมาณ $1,450 (ประมาณ 50,000 บาท) ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับมือใหม่ที่อยากได้กระเป๋าทำงานแบรนด์เนมหรู ๆ สักใบโดยไม่ต้องจ่ายราคาเต็ม
- ความคุ้มค่า : Prada Galleria มีจุดแข็งที่ ความคลาสสิกและสุภาพ ใช้ถือไปทำงานหรือออกงานทางการได้อย่างมั่นใจ ไม่มีเอาต์ง่าย ๆ เพราะทรงเรียบหรูดูผู้ดี เหมาะกับชุดสูทหรือเดรสเรียบร้อย อีกทั้งหนัง Saffiano ยังทนทาน ดูแลง่าย ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยขีดข่วนมากนัก ถือว่าเป็นกระเป๋าลงทุนระยะยาวที่ใช้ได้อีกหลายปี ในแง่การขายต่อ แม้ราคามือหนึ่งจะสูงและมือสองตกลงมาพอควร แต่ถ้าเราซื้อมาในราคามือสองที่ไม่แรงมาก ก็มีโอกาสขายต่อได้ใกล้เคียงทุนอยู่เหมือนกัน (โดยเฉพาะสีเบสิกอย่างสีดำที่ความต้องการสูง) สำหรับมือใหม่ที่เริ่มทำงานแล้วอยากมีกระเป๋าแบรนด์เนมใบคลาสสิกติดตู้ Prada Galleria มือสองเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากทีเดียว
8. Celine Ava (Triomphe Canvas)
แบรนด์ : Celine (เซลีน)
รุ่น : Ava Bag (Triomphe Canvas)
Celine Ava เป็นกระเป๋าทรงครึ่งวงพระจันทร์ (hobo) ขนาดเล็กของ Celine ที่มาแรงมากตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในคอลเลคชั่น Spring/Summer 2020 ภายใต้การออกแบบของครีเอทีฟไดเรกเตอร์ Hedi Slimane
กระเป๋ารุ่นนี้โดดเด่นที่ดีไซน์ เรียบง่ายแต่เก๋ไก๋ แบบมินิมอลตามสไตล์เซลีน เส้นสายโค้งมนสะอาดตา ไม่มีอะไรฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น แต่กลับดูทันสมัยและชิคสุด ๆ เหมาะกับการใช้งานทุกวัน รุ่นที่ได้รับความนิยมที่สุดคือรุ่นผ้าแคนวาสลาย Triomphe สีน้ำตาล (ลายโมโนแกรมของ Celine ที่เป็นรูปแบบแม่กุญแจเกี่ยวกัน) ตัดขอบด้วยหนังสีน้ำตาล ได้ลุควินเทจเบา ๆ แมตช์กับชุดได้หลากหลายแนว จะลุคหวาน ลุคเท่ หรือลุควินเทจก็เข้าได้หมด
- ราคามือสอง : อยู่ที่ประมาณ 40,000 – 80,000 บาท ขึ้นกับสภาพและปีที่ผลิต โดยถ้าเป็นรุ่นผ้าใบ Triomphe มักจะอยู่ช่วงล่าง ๆ ของงบนี้ (ประมาณ 40-50k สำหรับสภาพดี) ตัวอย่างเช่นที่ SF Brandname มีจำหน่าย Celine Ava Medium มือสองสภาพสวยอยู่ที่ 37,900 – 39,900 บาท
9. Celine Luggage Tote (Nano)
แบรนด์ : Celine
รุ่น : Luggage Tote ไซส์ Nano
Luggage Tote เป็นกระเป๋าทรงถือที่สร้างชื่อเสียงให้ Celine อย่างมาก สร้างสรรค์โดยดีไซเนอร์คนดัง Phoebe Philo เปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 และกลายเป็นกระเป๋าใบโปรดของเหล่าเซเลบและแฟชั่นนิสต้าทันทีที่ออกมา ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ทรงสี่เหลี่ยมมีปีกข้างยื่นออกเล็กน้อย และดีไซน์ซิปกับหูจับที่มองดูคล้าย “หน้าคนยิ้ม” ทำให้ Luggage Tote เป็นที่จดจำได้ง่ายมาก ไม่มีใครเหมือน วัสดุของรุ่นนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังลูกวัว ทั้งแบบหนังเรียบและหนังลายเกรน (grained calfskin) ซึ่งมีความคงทนแข็งแรงสูง เหมาะกับการใช้งานจริงจังตั้งแต่เช้าจรดเย็น
10. Dior Saddle Bag
แบรนด์ : Dior (ดิออร์)
รุ่น : Saddle Bag (Oblique Canvas)
ปิดท้ายด้วย Dior Saddle Bag กระเป๋าทรงอานม้าที่เป็นตำนานยุค Y2K และกลับมาฮิตอีกครั้งในปัจจุบัน รุ่นนี้ออกแบบโดย John Galliano เปิดตัวครั้งแรกปี 1999 โดยตั้งใจให้เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ และโด่งดังเป็นพลุแตกเมื่อปรากฏในซีรีส์ Sex and the City ยุค 2000’s (เป็นกระเป๋าคู่ใจของตัวละคร Carrie Bradshaw) หลังจากนั้นไม่ว่าจะเหล่าเซเลบอย่าง Paris Hilton, Beyoncé ก็ล้วนถือ Saddle ออกสื่อ ทำให้ยอดขายพุ่งกว่า 60% ในปี 2001 เลยทีเดียว
หลังห่างหายไปพักใหญ่ Dior Saddle ถูกนำกลับมา re-born ใหม่ในปี 2018 เสริมลูกเล่นทันสมัย เช่น มีสายสะพายแบบผ้าแจ็คการ์ดเส้นหนาให้ซื้อเพิ่มเพื่อสะพาย Crossbody ได้ (ไม่ต้องถือคล้องแขนอย่างเดียวเหมือนรุ่นดั้งเดิม) และออกลวดลาย/วัสดุใหม่ๆ ทั้งหนังเรียบ หนังปักลาย และผ้าแคนวาส Oblique (ลายโมโนแกรมตัวอักษร Dior) ที่ทุกคนจำได้ดี ตอนนี้เราจะเห็นสาว ๆ และอินฟลูเอนเซอร์ทั่วโลกสะพาย Dior Saddle กันเกลื่อนฟีด ถือเป็นการกลับมาที่ยิ่งใหญ่ของกระเป๋ารุ่นนี้เลยทีเดียว
- ราคามือหนึ่ง 2025 : Dior Saddle ไซส์มาตรฐาน (สายสั้น) ประมาณ 105,000 บาท ถ้าเป็นรุ่นมีสายยาว (สายแคนวาสเส้นหนาที่มักขายแยก) ราคาก็จะสูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย ถือว่าเกินงบมือใหม่ไปพอสมควร
- ราคามือสอง : มีช่วงราคากว้างมาก ตั้งแต่ประมาณ 25,000 บาท (สำหรับรุ่นเก่าแท้มือสองสภาพผ่านการใช้งาน หรือรุ่น Mini เล็กๆ) ไปจนถึงราว 75,000 – 80,000 บาท สำหรับใบสภาพสวยใหม่ ๆ อย่างเช่นในประเทศไทย กระเป๋า Dior Saddle Oblique สภาพดี ปีใหม่ ๆ มักตั้งขายกันประมาณหกหมื่นบาทต้น ๆ ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าการซื้อกระเป๋าใบใหม่อย่างมาก
- ความคุ้มค่า : ถ้าใจรัก Dior และชื่นชอบดีไซน์สุดชิคของ Saddle Bag จะบอกว่ารุ่นนี้ “น่าลงทุน” ก็ไม่ผิดนัก เพราะมันเป็น กระเป๋าไอคอนิก ของ Dior ที่ผ่านการพิสูจน์ความฮิตมาแล้วถึงสองยุคสองสมัย การกลับมาครั้งนี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่า Saddle เป็นดีไซน์ที่ยืนหยัดเหนือกาลเวลา ใครถือก็รู้ว่าเป็น Dior ชัดเจน แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าทรงอานม้ามีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัดและรูปทรงโค้งอาจไม่ใช่สไตล์ของทุกคน แนะนำสำหรับมือใหม่ที่ชอบแฟชั่นสายเท่ กล้าแต่งตัว และอยากได้กระเป๋าที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครจริง ๆ หากงบไม่ถึงของใหม่ ลองมองหาในตลาดมือสอง จะได้ราคาที่น่ารักกว่าเยอะ และในอนาคตถ้ารักษาดี ๆ ราคาก็ไม่น่าตกมาก (บางใบอาจราคาขึ้นด้วยซ้ำหากกลายเป็นแรร์ไอเท็ม) อย่างไรก็ตาม ซื้อมาแล้วรับรองว่าได้ใช้สะพายอวดความเก๋อย่างคุ้มค่าแน่นอน
10 กระเป๋าแบรนด์เนมใบแรก ทั้ง 10 รุ่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมไฮเอนด์ที่เหมาะกับการเริ่มต้นสะสมสำหรับมือใหม่ แต่ละใบมีเอกลักษณ์และข้อดีต่างกันไป ไม่ว่าจะชอบสายหวาน สายเท่ สายมินิมอล หรือสายหรูหรา ก็มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ภายใต้งบประมาณที่จับต้องได้เมื่อเทียบกับแบรนด์เนมระดับไฮเอนด์อื่น ๆ
แต่อย่าลืมว่าการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมคือการลงทุนอย่างหนึ่ง ควรเลือกใบที่เราชอบและเข้ากับสไตล์การใช้ชีวิตของเราจริง ๆ จะได้ใช้มันอย่างมีความสุขและคุ้มค่าที่สุด สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนสนุกกับการเลือกซื้อกระเป๋าใบแรกนะคะ และหวังว่าเพื่อนๆ จะได้ “กระเป๋าในฝัน” ที่ทั้งถูกใจและใช้ได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปค่ะ
